หลักทั่วไปของการทำนิติกรรมของผู้เยาว์
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 21 ได้บัญญัติว่า “ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใดๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”
โดยบทบัญญัติแห่งมาตรา 21 ดังกล่าว จึงมีเรื่องที่จะต้องพิจารณาอยู่ 4 ตัวเรื่องด้วยกัน คือ
1. กิจการประเภทใดที่ผู้เยาว์จะต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม
2. ใครเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม
3. ความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม
4. ผลบังคับในเมื่อผู้เยาว์ทำนิติกรรมโดยปราศจากความยินยอม
1. กิจการประเภทใดที่ผู้เยาว์จะต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม
จากมาตรา 21 นั่นเอง ระบุไว้ชัดเจนว่าเฉพาะการทำ “นิติกรรม” เท่านั้น ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 149 บัญญัติว่า “นิติกรรม หมายความว่า การใดๆ อันทำลงโดยชอบด้วยกฎหมายแพ่งและด้วยใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ” เช่น การทำสัญญาซื้อขาย แลกเปลี่ยน เช่าทรัพย์ เช่าซื้อ จำนำ จำนอง ขายฝาก ให้โดยเสน่หา เป็นต้น
แต่ถ้าหากกิจการใดที่ผู้เยาว์กระทำไปมิใช่นิติกรรมแล้วก็จะต้องอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 21 ไม่หากแต่ต้องพิจารณากันตามบทบัญญัติของกฎหมายในเรื่องนั้นเป็นกรณีๆ ไป เช่น
(ก) ในกรณีที่ผู้เยาว์ไปทำละเมิดต่อบุคคลอื่น การทำละเมิดนั้นมิใช่การทำนิติกรรมแต่เป็นนิติเหตุ ซึ่งก่อให้เกิดผลทางกฎหมาย คือ ผู้ทำละเมิดจำเป็นต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดนั้นให้แก่ผู้เสียหาย (มาตรา 420 และบทบัญญัติในเรื่องละเมิดนั่นเองก็ได้บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งว่าบุคคลที่ไร้ความสามารถ เพราะเหตุเป็นผู้เยาว์ก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด (มาตรา 429) ตัวอย่างเช่น นาย ก. ซึ่งเป็นผู้เยาว์ จงใจทำร้ายร่างกาย นาย ข. ดังนี้นาย ก. ทำละเมิด นาย ข. จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นาย ข. จะอ้างว่าการทำละเมิดนั้นตนยังมิได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมตามมาตรา 21 ขึ้นมาเป็นข้อต่อสู้กับนาย ข. ไม่ได้ เป็นต้น
(ข) ในกรณีที่ผู้เยาว์ได้มาซึ่งสิทธิครอบครอง ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 บัญญัติว่า “บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง เช่น ผู้เยาว์ครอบครองที่ดินแปลงหนึ่ง แม้ว่าที่ดินแปลงนั้นด้วยเจนายึดถือเพื่อตน ผู้เยาว์ก็จะได้มาซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินแปลงนั้นแล้ว โดยไม่จำต้องไปขอความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม ตามมาตรา 21 แต่อย่างใด”
(ค) ในกรณีที่ผู้เยาว์ไปจัดการงานนอกสั่ง คือ เข้าทำกิจการแทนผู้อื่นโดยเขามิได้ว่าขานวานใช้ให้ทำก็ดี หรือโดยมิได้มีสิทธิที่จะทำการานนั้นแทนผู้อื่นด้วยประการใดก็ดี (มาตรา 395) การจัดการงานนอกสั่งดังกล่าวนี้มิใช่เป็นการทำนิติกรรม แต่เป็นนิติเหตุ จึงหาอยู่ในบังคับแห่งมาตรา 21 ไม่ ฉะนั้นแม้ผู้เยาว์จะได้เข้าจัดการงานนอกสั่งโดยปราศจากความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก็ยังมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย
(ง) ในกรณีที่ผู้เยาว์ไปทำการร้องทุกข์ที่สถานี ผู้เยาว์สามารถดำเนินการร้องทุกข์ได้ด้วยลำพังตนเอง โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม เพราะการร้องทุกข์ไม่ถือว่าเป็นนิติกรรมและในทางกฎหมายการที่ผู้เสียหายจะดำเนินการร้องทุกข์นั้นก็ไม่จำกัดว่าผู้เสียหายจะต้องเป็นบุคคลที่บรรลุนิติภาวะแล้วหรือไม่ ดังนั้นผู้เยาว์จึงดำเนินการร้องทุกข์โดยลำพังได้ และมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายทุกประการ
ข้อสังเกต การที่ผู้เยาว์ทำนิติกรรมใดๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อนนั้น หมายถึง เฉพาะนิติกรรมที่ผู้เยาว์ได้ทำขึ้น เพื่อผูกพันตัวเอง และกองทรัพย์สินของตนเท่านั้น ถ้าเป็นกรณีที่ผู้เยาว์ได้ทำนิติกรรมในฐานะตัวแทนของบุคคลอื่น (บุคคลอื่นเป็นตัวการ) ดังนี้ย่อมทำได้โดยไม่ต้องขอความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมแต่อย่างใด
2. ใครเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม
ตัวบุคคลซึ่งกฎหมายให้เป็นผู้แทนโดยชอบธรรม เพื่อทำหน้าที่ให้ความยินยอมแก่ผู้เยาว์ในการทำนิติกรรมนั้น กล่าวโดยสรุปก็คือ ผู้ใช้อำนาจปกครอง (มาตรา 1569) อันได้แก่บิดามารดาของผู้เยาว์นั้นเอง (มาตรา 1566) หรือผู้ปกครอง (มาตรา 1598/3) อันได้แก่บุคคลที่ศาลสั่ง
3. ความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม
การให้ความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมนั้น อาจจะกระทำเป็นลายลักษณ์อักษรหรือด้วยวาจาก็ได้ และจะให้ความยินยอมใดชัดแจ้งหรือปริยายก็ได้ แต่การให้ความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมนี้จะต้องให้เสียก่อน หรืออย่างช้าต้องให้ในขณะที่ผู้เยาว์ทำนิติกรรม ถ้าหากเป็นการให้ความยินยอมในภายหลังที่ทำนิติกรรมแล้วไม่ถือว่าให้ความยินยอมตามมาตรา 21 แต่จะถือว่าเป็นการ “ให้สัตยาบัน” แก่โมฆียกรรมนั้น
เมื่อผู้แทนโดยชอบธรรมให้ความยินยอมแล้ว ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมได้เพียงใดนั้นได้มีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 26 บัญญัติว่า “ถ้าผู้แทนโดยชอบธรรมอนุญาตให้ผู้เยาว์จำหน่ายทรัพย์สินเพื่อการอันใดอันหนึ่งอันได้ระบุไว้ ผู้เยาว์จะจำหน่ายทรัพย์สินนั้นเป็นประการใดภายในขอบของการที่ระบุไว้นั้นก็ทำได้ตามใจสมัคร อนึ่งถ้าได้รับอนุญาตให้จำหน่ายทรัพย์สินโดยมิได้ระบุว่าเพื่อการอันใด ผู้เยาว์ก็จำหน่ายได้ตามใจสมัคร” หมายความว่า การจำหน่ายทรัพย์สินนั้น ถ้าในความยินยอมได้ระบุให้จำหน่ายในขอบเขตใดผู้เยาว์ก็ต้องจำหน่ายทรัพย์สินตามขอบเขตนั้น แต่ถ้าไม่มีขอบเขตในการจำหน่ายทรัพย์สินไว้ ผู้เยาว์ก็สามารถทำอย่างไรก็ได้ตามใจสมัคร เช่น ให้เงิน 1 หมื่นบาทไปซื้อวิทยุ 1 เครื่อง ผู้เยาว์จะเอาเงินนี้ไปซื้อของอย่างอื่นที่ไม่ใช่วิทยุไม่ได้แต่ถ้าให้เงิน 1 หมื่นจะไปซื้ออะไรก็ได้ ผู้เยาว์ชอบที่จะเอาเงิน 1 หมื่นบาทไปซื้ออะไรตามใจชอบก็ได้ เป็นต้น
4. ผลบังคับในเมื่อผู้เยาว์ทำนิติกรรมโดยปราศจากความยินยอม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 21 ที่ว่า “.... การใดๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น” คำว่า “โมฆียะ” นั้นต้องทำความเข้าใจควบคู่ไปกับ “โมฆะ” ซึ่งมีความแตกต่างกันในทางกฎหมาย
“โมฆียะกรรม” คือ นิติกรรมที่เสียเปล่า ไม่มีผลบังคับตามกฎหมายและไม่อาจให้สัตยาบันแก่กันได้ คู่กรณียังคงอยู่ในฐานะเดิมเสมือนว่ามิได้ทำนิติกรรมแต่ป